สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา (ธัมจักรกัปปวัตตนสูตร)
ดังนั้นสังขาร
เมื่อถูกปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้ว
ในที่สุดย่อมคืนสู่สภาพเดิมหรือธรรมชาติเดิม
ก่อนการปรุงแต่งโดยธรรมหรือธรรมชาติ กล่าวคือย่อมมีการดับเป็นธรรมดา
จึงบังเกิดการบีบคั้นขึ้น และเกิดอาการอนิจจังความไม่เที่ยงขึ้น ที่มีอาการของการแปรปรวนเพื่อคืนสู่ธรรมชาติเดิมเป็นธรรมดา
จนทุกขังทนอยู่ไม่ได้ในที่สุด ย่อมต้องดับเป็นธรรมดา ล้วนเป็นอนัตตา
เพราะไม่มีตัวตนแท้จริงอีกแล้ว เพราะดับไปเสียแล้ว
และสภาวะอย่างนี้ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา หรือ ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง
ชีวิตคือการเดินทาง
แต่ไม่ใช่เป็นการเดินทางแบบที่นักท่องเที่ยวเดืนทางไปทั่วโลก
เป็นการเดินทางกลับไปสู่สภาวะที่แท้จริง สภาวะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ
หลวงพ่อชา สุภทฺโท กล่าวว่า ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่ธรรมะอยู่ที่กายที่ใจของเราทุกคนอยู่แล้ว เราทุกคนก็อยู่กับธรรมะอยู่ทุกๆ วัน และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมันอยู่แล้ว แต่เมื่อเราไม่รู้ เราก็เดินทางออกนอกตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อแสวงหาธรรมะ แสวงหาสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่มีสติปัญญามากพอที่เห็นมันเท่านั้นเอง
ดังนั้น ในชั้นแรกที่สุดเราจึงต้องหาเครื่่องมือที่จะทำให้เราเห็นมันได้อย่างชัดเจน โดยไม่มีสิ่งใดมาปิดบังความจริงได้อีกแล้ว คือการทำให้เรามีสติปัญญาที่มากพอที่จะใช้ฟาดฟันทะลุทะลวงภาพมายาต่างๆ ที่มันมาบดบังไม่ให้เราเห็นความจริงของชีวิต เมื่อเรามีสติปัญญาเป็นเครื่องมือ ซึ่งเราต้องหมั่นฝึกฝนมันอยู่ทุกๆ วันเพื่อให้เกิดความชำนาญในการต่อสู้กับภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นโดยความคิดปรุงแต่งจนดูเหมือนว่า มันเป็นจริงเป็นจังอย่างนั้นจริงๆ
แต่พอเรามีสติปัญญาที่มากพอแล้วภาพลวงตาเหล่านั้นก็จะหลอกเราไม่ได้อีกต่อไป ธรรมะก็คือธรรมชาติ จิตคืนสู่ธรรมชาติ จิตคืนสู่บ้านเดิม ธรรมชาติของคนเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อมันมีความทุกข์มันก็พยายามหาทางดิ้นกลับไปสู่ความไม่มีทุกข์ คือกลับเข้าไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติเดิมของมัน ซึ่งเป็นบ้านเดิมของมัน เป็นบ้านที่แท้จริงที่มีแต่ความสุขสงบร่มเย็น
พระพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสารถี ได้ตรัสสอนพระราหุลถึงการพิจารณาธาตุ ๕ คือ ดิน น้ำ
ไฟ ลม และอากาศ โดยแยกออกเป็นส่วนๆ ตอนท้ายได้ตรัสให้พระราหุลทำใจเหมือน ดิน น้ำ
ไฟ ลม และอากาศ พอสรุปเป็นใจความได้ดังนี้
๑. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอทำจิตให้เหมือนแผ่นดินเป็นประจำอยู่เสมอแล้ว เมื่อกระทบอารมณ์ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ดี อารมณ์เหล่านั้นจะไม่สามารถทำจิตให้หวั่นไหวได้ เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งสิ่งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง บ้วนน้ำลายรดบ้าง เทสิ่งของสกปรกอื่นๆ ลงบ้าง ลงที่แผ่นดิน แต่แผ่นดินจะอึดอัดระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งของนั้นๆ ก็หาไม่ ฉันใด
ราหุล !
เธอจงทำจิดให้เสมอแผ่นดินฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอทำจิตให้เหมือนแผ่นดินอยู่เมื่อมีการกระทบกับอารมณ์เกิดขึ้น
ความรักหรือความชังก็จะไม่สามารถครอบงำจิตได้ ฉันนั้น ?
๒. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนน้ำเถิด เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนน้ำแล้ว จะไม่เกิดความชอบหรือความชังครอบงำจิตใจเธอได้ เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย ล้างของหรือทิ้งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างลงในน้ำ น้ำจะอึดอัดหรือระอา หรือรังเกียจด้วยของนั้นๆ ก็หาไม่ ฉันใด
ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เสมอน้ำนั้นแล เมื่อกระทบอารมณ์แล้ว ความชอบและความชังจะไม่สามารถครอบงำจิตเธอได้ ฉันนั้น ?
๓. ราหุล ! เธอจงทำจิดให้เหมือนด้วยไฟเถิด เพราะไฟนั้นเมื่อมีผู้ทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิ้งอุจจาระ ปัสสาวะบ้าง ฯ ไฟจะรู้สึกอึดอัดระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้นๆ ก็หาไม่ ฉันใด
ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยไฟอยู่ การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังก็ย่อมจะไม่ปรุงแต่งให้จิตแปรปรวนได้ ฉันนั้น ?
๔. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนลมเถิด เพราะลมนั้นย่อมพัดไปถูกต้องของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง พัดถูกอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง ฯ ลมจะรู้สึกอึดอัดระอา หรือรังเกียจต่อสิ่งของเหล่านั้นก็หาไม่ ฉันใด
ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนลมอยู่ การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังย่อมจะไม่ปรุงแต่งให้จิตของเธอแปรปรวนได้ ฉันนั้น ?
๕. ราหุล !
เธอจงทำจิตให้เหมือนอากาศเถิด เพราะอากาศนั้นไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ฉันใด
ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยอากาศอยู่ตลอดเวลาแล้ว เมื่อกระทบกับอารมณ์ย่อมจะไม่เกิดความชอบและความชังขึ้นได้ ฉันนั้น ?
มหาราหุโลวาทสูตร ๑๓/๑๓๖
บุคคลผู้ที่มีทิฏฐิ มานะ อัตตา และโทสะจริต น่าจะลองนำเอาคำสอนในพระสูตรนี้ไปใช้เป็นประจำ เพี่อลดความโทมนัส น้อยใจ หรือขัดเคืองใจ เมื่อเห็นว่าผู้อื่นล่วงเกินทำให้เกิดความไม่สบายใจ หงุดหงิด หรือรำคาญใจ แม้ทำไม่ได้ในพระสูตรนี้ ถ้าเราได้หัดทำอยู่เสมอๆ มีสติสัมปชัญญะระวังจิตไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ที่มากระทบ จิตของเราก็จะสงบ
นั่นก็คือจุดหมายปลายทางของความสุขที่ทุกคนปรารถนา แม้ได้รับเพียงครั้งคราว ก็นับว่าประเสริฐสุดแล้ว.
สาธุ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น